21 ก.ค.2568 ดร.สมชาย แสวงการ โพสต์ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก “สมชาย แสวงการ” ใจความว่า…
ข้อเท็จจริงชายชุดดำและอาวุธสงคราม 10 เม.ย.-พ.ค.2553
ขออธิบายสรุปตามที่ได้ตรวจสอบและรับทราบรายงานในเหตุการณ์จริงบางส่วน
ดังนี้ครับ
1. อาวุธสงครามที่ชายชุดดำใช้ในเหตุการณ์ 10 เม.ย.53 และเหตุการณ์ต่อเนื่องจนถึงการสลายการชุมนุม พ.ค.2553 ได้ มาจาก 2 แหล่ง คือ
1.1 นักการเมืองระดับชาติภาคเหนือ นาย ยย และนาย ส นักการเมืองท้องถิ่นภาคตะวันออกจัดหาและซื้อจากชายแดนฝั่งตะวันตกและฝั่งตะวันออก ได้แก่ RPG M79 AK47 M16 พร้อมกระสุน
1.2 กลุ่มมวลชนเสื้อแดงที่เข้าปล้นจากรถทหารที่เชิงสะพานพระปิ่นเกล้าฝั่งธนขาเข้า เมื่อ 17.00 น. ของวันที่ 10 เม.ย.2553 เป็นอาวุธสงครามปืน M16 travo 21 จำนวน 12 กระบอก พร้อมกระสุนจริง ปืนลูกซอง 35 กระบอก พร้อมกระสุนยางฯลฯ ใบแจ้งความไว้ที่ สน.บางยี่ขัน เมื่อ 15 เม.ย.53 (ตามเอกสารใบแจ้งความ)
อาวุธปืนบางส่วนน่าจะถูกนำไปใช้ร่วมในการโจมตีต่อเจ้าหน้าที่รัฐและฝ่ายที่เห็นต่าง ในหลายเหตุการณ์ อาทิ
: การยิง M79 จำนวน 10 นัด การใช้ปืนสงคราม M16 AK47 ยิงใส่ทหารบริเวณถนนตะนาว ถนนข้าวสาร ทำให้ พลเอก ชิษณุพงศ์ รอดศิริ ผู้ช่วย ผบ.ทบ. ปัจจุบัน และทหารได้รับบาดเจ็บจำนวนมาก
: การขว้างระเบิด M67 จำนวน 2 ลูกสังหารพลเอกร่มเกล้า ธุวธรรม และทหารคุ้มกันเสียชีวิตรวม 3 ราย ที่หน้า รร.สตรีวิทยา โดย พลเอกวลิต โรจนภักดี บาดเจ็บสาหัส พลเอกธรมนูญ วิถี บาดเจ็บ พร้อมทหารอีกจำนวมาก
: การใช้เครื่องยิง M79 ตามจุดต่างๆ เช่น กรม 1 รอ ถนนวิภาวดี ยิงใส่ รร. ดุสิตธานี สถานีรถไฟฟ้าถนนสีลม มีตำรวจและประชาชนเสียชีวิต การยิง M79 ที่ถนนราชดำริทำให้เด็กเสียชีวิต การยิงปะทะทหารด้วยอาวุธสงครามที่สวนลุมพินี การใช้ระเบิด c4 ต่อชนวนถังแก๊สที่ถนนเพชรบุรีตัดใหม่ย่านประตูน้ำ ฯลฯ
อีก 2 ปีต่อมาเมื่อ 26 พ.ย.2555 พบว่า มีการนำปืน M16 travo21 จำนวน 10 กระบอกไปทิ้งไว้ที่ข้างถนน อำเภอ ท่ามะกา จังหวัดกาญจนบุรี ที่เหลือยังสูญหาย
โดยสรุป ไม่พบว่ามีรายงานเกี่ยวกับการส่งอาวุธสงคราม 2 ตู้คอนเทนเนอร์มาจากฮุนเซนตามที่สมศักดิ์ เจียมอ้าง
2. ประเทศกัมพูชาเป็นที่ฝึกอาวุธให้กับชายชุดดำ 39 คน จริง
โดยมีรายงานที่บันทึกการสอบสวนผู้ที่ถูกจับกุมได้ ระบุถึงการเดินทางไปฝึกที่ กพช.ดังนี้
“ผู้ถูกซักถามอ้างว่า ตนเองออกจากพื้นที่การชุมนุมเมื่อ 15 พ.ค.53 ภายหลังที่ พล.ต.ขัตติยะฯ ถูกยิงตนจึงหลบหนีไปอยู่ จ.เชียงใหม่กับ นายเด่น ฯ (1 ใน 11 นักรบแดงที่ผ่านการฝึกจาก กพช. ซึ่งถูกจับกุมที่ จ.เชียงใหม่)
จากนั้นถูกชักชวนให้ไปฝึกที่ กพช. จึงเดินทางไปพบ นางสายใจฯ (หมวย) ที่บริเวณใกล้กับด่านข้ามแดนช่องจอม จ.สุรินทร์ ได้เช่าบ้านพัก 1-2 วันจึงมี จนท.ตม. ของ กพช.ชื่อ นายเยื้อน พาข้ามแดน แล้วจึงไปอาศัยบ้านของ จนท.ตม. คนดังกล่าว ซึ่งอยู่ใกล้กับด่านข้ามแดนอาศัยอยู่ประมาณ 10 วัน
จากนั้นจึงเดินทางไปยังค่ายฝึกโดยมีผู้เข้าร่วมการฝึกจำนวน 39 คน ผู้ถูกซักถามยืนยันว่ารู้จักกับกลุ่ม 11 นักรบแดงซึ่งถูกจับกุมที่ จ.เชียงใหม่
(รายละเอียดตามสิ่งที่ส่งมาด้วย)
โดยในการฝึกจะมีการให้ทดลองยิงอาวุธสงครามอาทิ ปลย.AK 47, ปก. ไม่ทราบชนิด, RPG และ M 79 แต่จะไม่ได้ยิงทุกคน หากใครมีฝีมือจะคัดไว้เป็นมือยิงสไนเปอร์ (ไม่ได้ระบุรายละเอียดแน่ชัด)
ทั้งนี้การฝึกทั้งหมด จะมี จนท.ทหาร กพช. เป็นผู้ฝึกให้โดยมีล่ามพูดภาษาไทยได้ จาก จ.ตาแก้ว ประเทศ กพช. เป็นผู้แปล เมื่อจบการฝึก จึงปล่อยกลับประเทศไทย ซึ่งทุกคนจะได้รับรหัสประจำตัว โดย นายมงคลฯ ได้รับรหัสประจำตัว คือ SP 43 ทั้งนี้ในส่วนของบุคคลที่มีหมายจับ ประกอบด้วย นายมงคล, อ้วน, บังมัด และ นิค จะยังคงอยู่ที่ กพช. ต่อไป มิได้กลับเข้าประเทศไทย
3. กัมพูชา เป็นที่หลบซ่อนพักพิงของชายชุดดำและขบวนการคนเสื้อแดงหนีคดีจากไทย
“ผู้ถูกซักถามระบุว่าภายหลังจบการฝึก ได้มี จนท.ทหาร กพช. พาเดินทางไปยัง จ.เสียมเรียบ เข้าพักในบ้านหลังหนึ่งมีลักษณะคล้ายโรงแรมเก่ามีร้านอาหารติดบ้านหลังดังกล่าว ซึผู้ถูกซักถามมาทราบภายหลังว่าเป็นบ้านของนางกัญญาภัคฯ (ดีเจอ้อม) พักอาศัยอยู่ประมาณ 10 วัน จึงมี จนท.ทหาร กพช. พาเดินทางไปยังย่านสุเพรียะมงกล กรุงพนมเปญ ประเทศ กพช. (ข้ามสะพานจรวยจองวา ทางทิศตะวันออกของกรุงพนมเปญ) อาศัยในบ้านสามชั้นล้อมรอบด้วยกำแพงสังกะสีสูง 2 เมตร
โดยผู้ร่วมพักอาศัยประกอบด้วย นายอริสมันต์ฯ, ผู้ถูกซักถาม, นายอ้วน, นายนิค และ บังมัด พักอยู่ได้ห้วงเวลาหนึ่ง (ไม่สามารถระบุเวลาที่แน่ชัด) ก็เดินทางไป จ.กัมปงจาม โดยผู้ร่วมพักอาศัยประกอบด้วย ผู้ถูกซักถาม, นายอ้วน และ นายนิค ส่วน นายอริสมันต์ฯ และ บังมัด ได้แยกออกไปพักที่อื่น ภายหลังจากพักได้ประมาณ 1 สัปดาห์ ก็เดินทางกลับมายังย่านสุเพรียะมงกล อีกครั้ง และพักที่บ้านหลังเดิมจนถึงเดือน ก.พ.54 โดยในระหว่างที่พักอาศัยได้พบกับ นายอริสมันต์ฯ, ส.จ.สำเริงฯ และ พ.ต.ท.เสงี่ยม ฯ ซึ่งทั้งหมดเป็นแกนนำระดับฮาร์ดคอร์
นอกจากนี้ยังได้พบ นายธนเดชฯ (ไก่ แก๊งค์รถตู้) ในงานเลี้ยงอีกด้วย โดย นายธนเดชฯ มีท่าทางสนิทสนมกับ นายสุภรณ์ฯ และพักอยู่กับ นายจรัล ฯ และ นายชินวัฒน์ฯ
ทั้งนี้ภายหลังจากที่พักในกรุงพนมเปญก็มี จนท.ทหาร กพช. พาผู้ถูกซักถามไปพัก ที่ จ.ตาแก้ว ประเทศ กพช. ติดกับชายแดนประเทศเวียดนาม เพียงคนเดียว
4. กัมพูชา มีส่วนสำคัญมากในการสนับสนุน นายทักษิณ และบริวาร ตลอดระยะเวลา ที่มีความขัดแย้งในประเทศไทย ตั้งแต่ 2549 จนถึงปัจจุบัน มีข้อมูลข่าวและหลักฐานมากมาย ทั้งความสัมพันธ์กันระหว่างครอบครัว ธุรกิจ การใช้เป็นสถานที่จัดชุมนุมทางการเมืองนอกประเทศ หรือใช้เป็นที่หลบหนีของ ยิ่งลักษณ์ จักรภพ อริสมันต์ จารุพงศ์ ฯลฯ และคนในขบวนการจำนวนมาก รวมถึงผู้ต้องหาคดี 112 ในอดีตเกือบทุกคนจะได้รับการช่วยเหลือให้หนีออกไปลี้ภัยอยู่ที่กัมพูชาก่อนถูกส่งตัวไปประเทศอื่น เช่น จรัลฯ สุรชัยฯ ฯลฯ
ส่วนการแตกคอทะเลาะกันของฮุนเซนกับทักษิณจะจริงจังแค่ไหน จะจบลงอย่างไร จะเป็นของจริวหรือแค่จัดฉาก คงต้องติดตามกันต่อไป แต่สิ่งสำคัญคือ การรับรู้และตรวจสอบข้อมูลข่าวกรองที่ถูกต้องของฝ่ายความมั่นคงและกองทัพ ที่ต้องแม่นยำชัดเจน สื่อสารให้ประชาชนไทยได้ทราบอย่างถูกต้องตามสมควร เพื่อไม่ให้ตกเป็นเครื่องมือขยายความขัดแย้งในปัญหาพิพาทชายแดนไทย-กัมพูชา ที่นับวันจะระอุมากขึ้นครับ
ดร. สมชาย แสวงการ
อดีตประธานคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนฯ วุฒิสภา
อดีตประธานคณะตรวจสอบเหตุการณ์ 10เม.ย.2553
21 ก.ค. 2568
หมายเหตุ
1. ข้อมูลดังกล่าวนี้ไม่รวมถึงการใช้กองกำลังชายชุดดำและอาวุธสงครามต่อเหตุการณ์ การชุมนุมของ กปปส. ในปี 2557 ซึ่งมีผู้เสียชีวิตอีกกว่า 20 คน และการลอบยิงคุณสนธิ ลิ้มทองกุล
2. หากมีการเสนอข้อมูลที่อาจไม่ตรงตามข้อเท็จจริง จะอธิบายนำเสนอให้ทราบต่อไป
Cr. https://www.facebook.com/share/p/19RYawraDs/?mibextid=wwXIfr