วันนั้นกับวันนี้ของพรรคเพื่อไทย
วันนั้น
ในวันที่กฎหมายนิรโทษกรรมสุดซอยนำเข้าสภา
ท่านวีระกานต์ มุสิกพงศ์ ที่นั่งอยู่หลังเวทีคนเสื้อแดงที่ราชประสงค์ กระซิบบอกผมว่า โทรไปบอกคนสำคัญของพรรคเพื่อไทยด้วยว่า คนเสื้อแดงไม่เห็นด้วยกับกฎหมายนิรโทษกรรมฉบับนี้นะ เพราะมันถูกหลอก พวก สุเทพ อภิสิทธิ์ ไม่ปล่อยให้ผ่านหรอก
ผมได้รับคำตอบผ่านสายโทรว่า ทางพรรคตัดสินใจจัดแบบนี้ ส่วนพวกเสื้อแดงที่ไม่เห็นด้วยจะกลับบ้านไม่ร่วมม็อบก็ได้แล้วแต่จะเลือก เพราะพรรคก็ยังมีคนอีกเยอะ
ผลที่สุด พวกสุเทพ ฉวยโอกาสนำกฎหมายนิรโทษกรรมเอามาใช้ปลุกม็อบที่อ่อนแรงให้กลับมาคึกคักอีกครั้ง จนนำทหารเข้ามายึดอำนาจจนได้
วันนี้
ผมถามคนที่ใกล้ชิดกับพรรคเพื่อไทยว่า ทำไมคิดจะเอา
นายวราวุธ ศิลปอาชา ลูกชายนายบรรหาร ศิลปอาชา เข้ามาเป็น แคนดิเนท นายกรัฐมนตรีและเป็นปาร์ตีลิสต์อันดับหนึ่งของพรรค
เขาตอบว่า ท่านทักษิณและท่านบรรหารนั้นเป็นคนดีกัน ทั้งสองครอบครัวสนิทสนมและไว้ใจกัน “บ้านจันทร์ส่องล้า” หลังที่ท่านทักษิณอาศัยทุกวันนี้นี้ก็ซื้อต่อมาจากท่านบรรหาร วันนี้เพื่อเป็นเอกภาพและให้พรรคเติบโตทั้งสองครอบครัว
เขารวมกันเพื่อจะได้เติบใหญ่
สรุปความว่า ถ้าดิวนี้เป็นจริง เป็นกรรมของเสื้อแดงเพื่อไทย นายแบก นางแบกเสื้อแดงและสมุนบริวารคนรับใช้ก็ต้องรับภาระหนักเพิ่มขึ้น คือต้องแบกทั้ง 2 ตระกูล คือทั้งชินวัตรและศิลปอาชาแอนเดอะแกงค์
นับว่าเพิ่มงานและแบกหนักขึ้นเรื่อยๆ
ระวังทรุดทั้งคนทั้งพรรค
แต่ที่สำคัญได้ยินมาก่อนว่า นักการเมืองใหญ่ ๆ ทุกคนรู้ว่าคุณหญิงท่านเข้ามาสะสางบัญชีเพื่อปิดกิจกรรมทางด้านการเมืองของตระกูลชินวัตร ไม่ได้มาเพื่อปั่นหุ้นให้พรรค อ้ายเสือใหญ่ในพรรคเลยประกาศถอยตัวกันถ้วนหน้า
เวรกรรม เวรกรรม
คิดถึงบทกวีอมตะของวิสา คัญทัพที่ว่า
ผู้ปกครอง (นักการเมืองด้วย….ขุนจัน) ต่างมาแล้วสาปสูญ
ไม่มีใครล้ำเลิศน่าเทิดทูน
ประชาชนสมบูรณ์นิรันดร์ไป
นักการเมืองไทยแท้จริงมันพันธุ์เดียวกัน เข้ากันได้ทุกสถานะการณ์
ขุนจัน พันนา
………………………………………….
Cr. ข้อมูลจาก Jua Rattanapan / ภาพจาก ไทยรัฐ