“ติดปีกนักวิจัยด้านสื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์” ปั้นนักวิจัยรุ่นใหม่ เสริมพลังสังคมไทยด้วยงานวิชาการ
ในยุคที่สื่อมีบทบาทสำคัญต่อความคิด ค่านิยม และพฤติกรรมของผู้คน การสร้างองค์ความรู้ด้าน “สื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์” จึงไม่ใช่เพียงภารกิจของนักวิจัยเท่านั้น แต่ยังเป็นกลไกสำคัญในการเสริมภูมิคุ้มกันทางสังคมให้แก่เด็ก เยาวชน และประชาชนโดยรวมอย่างยั่งยืน
กองทุนพัฒนาสื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์ ร่วมกับศูนย์ความเป็นเลิศด้าน Human and Business Development คณะบริหารธุรกิจ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลธัญบุรี จัดโครงการฝึกอบรมเชิงปฏิบัติการประจำปี 2568 หลักสูตร “ติดปีกนักวิจัยด้านสื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์” โดยมีเป้าหมายเพื่อพัฒนานักวิจัยรุ่นใหม่ให้สามารถผลิตบทความวิชาการคุณภาพ พร้อมถ่ายทอดองค์ความรู้ที่เป็นประโยชน์ต่อการพัฒนาสังคมไทย
หลักสูตรนี้ออกแบบเป็น Hybrid Learning ต่อเนื่องเกือบ 2 เดือน ประกอบด้วย 3 ช่วงสำคัญ ได้แก่
22 สิงหาคม 2568: Online Training ปูพื้นฐานและเครื่องมือดิจิทัลสำหรับงานวิจัย 6–7 กันยายน 2568: Onsite Workshop แบบเข้มข้น ณ กรุงเทพมหานคร เน้นการลงมือปฏิบัติจริง 12, 19, 26 กันยายน 2568 : Online Follow-up ติดตามผลรายบุคคล ให้คำปรึกษาอย่างเจาะลึก
ตลอดหลักสูตร ผู้เข้าร่วมได้เรียนรู้ทั้งการตั้งคำถามวิจัย การเขียนบทความเชิงวิชาการ การใช้เครื่องมือ AI และดิจิทัลเพื่อการจัดการข้อมูล เทคนิคการตอบคำถามจากผู้ประเมิน (Peer Review) ตลอดจนการเตรียมต้นฉบับสำหรับส่งตีพิมพ์ใน TMF Journal ซึ่งถือเป็นเวทีสำคัญของนักวิจัยด้านสื่อสร้างสรรค์ในประเทศไทย
ในพิธีเปิดโครงการ เมื่อวันที่ 6 กันยายน 2568 ดร.ธนกร ศรีสุขใส ผู้จัดการกองทุนพัฒนาสื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์ กล่าวตอนหนึ่งว่า “งานวิจัยเป็นเครื่องมือสำคัญในการขับเคลื่อนประเทศชาติ ตรงกับภารกิจและยุทธศาสตร์ของกองทุนพัฒนาสื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์ ขณะที่ TMF Journal ก็เป็นอีกหนึ่งกลไกสำคัญในการเผยแพร่องค์ความรู้ โดยที่ผ่านมาเราโฟกัสประเด็นสำคัญ 2–3 เรื่อง ได้แก่ การสร้างสื่อที่ปลอดภัยและสร้างสรรค์ และการดูแลเด็กเยาวชนให้เข้าถึงสื่อที่ดีและเพียงพอ”
การอบรมครั้งนี้มีผู้เข้าร่วมอบรมจำนวน 52 คน ซึ่งคัดเลือกจากนักวิจัย ผู้ผลิตสื่อ นักวิชาการ และนักศึกษาจากทั่วประเทศ หลายคนสะท้อนว่าได้รับโอกาสใหม่ในการสร้างความมั่นใจในศักยภาพของตนเอง หนึ่งในผู้เข้าร่วมกล่าวว่า “ฉันเคยคิดว่าบทความวิชาการคือเรื่องยาก แต่เมื่อได้เรียนรู้จากโครงการนี้ ทำให้เข้าใจว่าหากมีแนวทางที่ชัดเจนและทีมโค้ชที่พร้อมสนับสนุน เราก็สามารถทำได้ และยังใช้เครื่องมือดิจิทัลมาช่วยเพิ่มคุณภาพได้อย่างมีประสิทธิภาพ”
ผลลัพธ์ที่มากกว่า “การเขียนบทความ” โครงการนี้สร้างผลลัพธ์ที่จับต้องได้หลากหลายมิติ ได้แก่
1. การพัฒนาความรู้ด้านการตั้งโจทย์วิจัย การวิเคราะห์ข้อมูล และการเขียนบทความเชิงวิชาการ
2. การเสริมทักษะการใช้ AI และเครื่องมือดิจิทัลเพื่อค้นคว้า ตรวจสอบ และยกระดับคุณภาพบทความ
3. การตระหนักถึงหลักจริยธรรมและมาตรฐานการอ้างอิงที่ถูกต้อง และ
4. การสร้างแรงบันดาลใจและเครือข่ายความร่วมมือระหว่างนักวิจัยต่างสาขา เพื่อการต่อยอดในอนาคต
หนึ่งในไฮไลท์ของหลักสูตร คือ Workshop การใช้ AI เป็นผู้ช่วยเขียนบทความ ตั้งแต่การกำหนดโจทย์ การให้ Prompt ที่แม่นยำ ไปจนถึงการปรับภาษาสำนวนให้เหมาะกับกลุ่มเป้าหมาย อีกทั้งยังฝึกตรวจสอบผลงานที่สร้างด้วย AI เพื่อป้องกันข้อมูลผิดพลาดและปัญหาการคัดลอกผลงาน (Plagiarism) พร้อมเรียนรู้วิธีการใช้ AI ในฐานะเครื่องมือหรือผู้ช่วยการเขียนบทความ ไม่ว่าจะเป็นนักวิจัย ครู อาจารย์ นักการตลาด หรือผู้ประกอบวิชาชีพด้านการสื่อสาร
โครงการนี้ได้รับเกียรติจากวิทยากรผู้ทรงคุณวุฒิและผู้เชี่ยวชาญ ทั้งด้านวิชาการและประสบการณ์ตรงในวงการสื่อ อาทิ รศ.ดร.บรรพต วิรุณราช คณะทำงานวารสารกองทุนพัฒนาสื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์ ผศ.ดร.วสะ บูรพาเดชะ คณะบริหารธุรกิจและเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยอัสสัมชัญ เจ้าของเพจ “พ่อบ้านเล่างานวิจัย” ผศ.ดร.สุคนธ์ทิพย์ วงศ์พันธ์ คณะบริหารธุรกิจ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลธัญบุรี, ผศ.ดร.ชนัญสรา อรนพ ณ อยุธยา คณะนิเทศศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ผศ.ดร.พรรษา รอดอาตม์ คณะวารสารศาสตร์และสื่อสารมวลชน มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ รวมถึงคณะอาจารย์จากมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลธัญบุรี
อีกหนึ่งความสำเร็จที่เกิดขึ้น คือการก่อร่าง เครือข่ายนักวิจัยด้านสื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์ ที่รวมตัวผู้เชี่ยวชาญจากหลากหลายภาคส่วน ทั้งการศึกษา สื่อ และประชาสังคม เพื่อแลกเปลี่ยนองค์ความรู้และวางรากฐานการทำงานร่วมกันในอนาคต
ก้าวต่อไปของโครงการฝึกอบรมเชิงปฏิบัติการประจำปี 2568 หลักสูตร “ติดปีกนักวิจัยด้านสื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์” ไม่ใช่เพียงการอบรม แต่คือกระบวนการพัฒนาทุนมนุษย์ที่มีคุณภาพ สร้างนักวิจัยรุ่นใหม่ที่มีทั้งทักษะทางวิชาการ จริยธรรม และความเข้าใจบทบาทของ “สื่อ” ต่อการพัฒนาอย่างยั่งยืน