<ใบไม้ใบสุดท้าย>
ที่บริเวณลานหน้าบ้านผมมีต้นมะม่วงใหญ่อยู่ต้นหนึ่งแผ่กิ่งก้านระเกะระกะ ไม่เป็นระเบียบเลยแถมมีงูอาศัยอยู่ด้วย
ผมไม่เคยเห็นตัวงูเห็นแต่คราบของมันแขวนอยู่ตามกิ่งก้านมะม่วง
วันหนึ่ง จ้างคนมาตัดแต่งต้นมะม่วงคนตัดต้นไม้ ริดกิ่ง ริดใบ ตัดก้าน จนต้นโกร๋น เขาบอกว่า ฝนมาก็จะแตกกิ่งก้านใบใหม่
วันนั้นอากาศร้อนมากเลยไปซื้อชาเขียวเย็น จากร้านกาแฟชื่อดังแถวบ้าน มาให้คนตัดต้นไม้ 6 แก้ว เพราะมากันทั้งครอบครัว 6 คน
มีหมวกหนังทรงคาวบอยอยู่ใบหนึ่ง ราคา 2,000 บาท นาน ๆ ใส่ที ไม่คุ้มค่าให้หัวหน้าคนตัดต้นไม้ไปเขาใส่เลย ยิ้มแฉ่ง ชอบมาก
งานตัดต้นไม้ เรียบร้อย น่าพอใจ
ขออภัยงูทุกชีวิต ขอให้ไปหาที่อยู่ใหม่ตามต้นไม้ที่อื่น
เย็นวันนั้น ผมเดินออกกำลังกายตามปกติสังเกตุเห็นข้างต้นมะม่วงมีใบมะม่วงสีเขียวติดอยู่ 1 ใบ มองดูใกล้ ๆ ใบนี้อยู่โคนกิ่งติดลำต้น ทำให้หวนคิดคำนึงถึงนวนิยายเรื่องสั้น เรื่อง <ใบไม้ใบสุดท้าย> ของนักเขียนนามอุโฆษชาวฝรั่งเศส กีย์ เดอ โมปัสซังต์ ที่ผมเคยอ่านนอกเวลาเรียนตอนเรียนชั้นมัธยม เรื่องราว ผมปะติดปะต่อเอาเอง มีอยู่ว่า
หนุ่มใหญ่คนหนึ่งสุขภาพไม่ค่อยดีนักได้ไปเช่าอาศัยโรงแรมแห่งหนึ่งพักอยู่คนเดียวเพื่อตายคนเดียว
เข้าวันรุ่งขึ้น หนุ่มใหญ่เปิดหน้าต่างห้องพักออกมาหิมะกำลังตกโปรยปรายอากาศค่อนข้างหนาวเหน็บเขากระชับเสื้อคลุมให้แนบลำตัว
ข้าง ๆ ห้องที่เขาพักมีเสียงเปิดหน้าต่าง
เขาเห็นชายชราคนหนึ่งมองไปนอกหน้าต่างจ้องไปยังต้นไม้ใหญ่ด้านหน้า
ต้นไม้ใหญ่นั้น มันขึ้นอยู่ใกล้กับอาคารอีกหลังหนึ่งของโรงแรม
ชายชรา จ้องจนตาแทบจะไม่กระพริบส่งเสียงนับเบา ๆ
หนุ่มใหญ่มองดูสักครู่หนึ่งก็ปิดหน้าต่างเพราะลมหนาวกระโชกแรงเหลือเกิน
รุ่งเช้าอีกวันหนึ่ง หนุ่มใหญ่เปิดหน้าต่างออกมาหิมะยังคงตกโปรยปรายมันตกมาทั้งวันทั้งคืน
เสียงหน้าต่างห้องชายชราเปิดออกมา ชายชราจ้องมองตรงไปที่ต้นไม้ใหญ่ต้นนั้นเริ่มส่งเสียงนับเบา ๆ
หนุ่มใหญ่ไม่เข้าใจการกระทำของชายชราจึงปิดหน้าต่าง
และแล้วในเช้าของอีกวันหนึ่งเมื่อหนุ่มใหญ่เปิดหน้าต่างออกมา
ก็เห็นว่า ชายชราได้เปิดหน้าต่างออกมาก่อนแล้วและนับเลขตัวเดียวนับไป นับมา ซ้ำไป ซ้ำมา
หนุ่มใหญ่อดรนทนไม่ไหว จึงถามชายชราไปว่า <ลุงมองอะไร ? นับอะไร ? เห็นทำเช่นนี้ทุกวันเลย>
ชายชราหันมามองหนุ่มใหญ่ และพูดว่า <มองดูต้นไม้ มันคงมีอายุพอ ๆ กับฉัน นับใบไม้ว่าเหลือกี่ใบ ชีวิตของฉัน พร้อมจะร่วงหล่นไปกับใบไม้ใบสุดท้ายของมัน ที่ร่วงลงไป>
หนุ่มใหญ่ มองไปที่ต้นไม้ เขาเพิ่งสังเกตุเห็นว่า ใบไม้ที่ติดอยู่บนต้นที่เขาเห็นวันแรกที่เปิดหน้าต่างได้ร่วงหล่นไปจนเกือบหมดขณะนี้ เหลืออยู่เพียงใบเดียวเท่านั้น
หนุ่มใหญ่ถามชายชราต่อไปอีกว่า <อยากรู้ว่า ทำไมขีวิตถึงจะต้องหล่นไปตามใบไม้ใบสุดท้ายนี้ด้วยล่ะ ?>
ชายชราตอบว่า <ฉันมีชีวิตที่โดดเดี่ยว ได้อยู่ดูโลกมานานเพียงนี้ก็คุ้มค่าแล้ว ฉันไม่มีเรื่องอะไรให้กังวลจึงอธิษฐานต่อพระเจ้าขอให้มารับวิญญาณฉันเมื่อใบไม้ใบสุดท้ายได้ร่วงหล่นลงฉันพร้อมแล้ว>
หนุ่มใหญ่ฟังแล้วยิ้มแห้ง ๆ กระแอมไอถี่ ๆ อีกสองสามครั้งจึงขอตัวชายชราปิดหน้าต่างห้องตัวเองลง
เช้าวันรุ่งขึ้นชายชราเปิดหน้าต่างออกมาด้วยใบหน้านิ่งสงบ มองไปที่ต้นไม้ใหญ่
ใบไม้ใบสุดท้ายยังคงติดอยู่ที่กิ่งไม่ได้ร่วงหล่นลงไป ชายชรายิ้ม พึมพำเบา ๆ ว่า <พระเจ้าคงอยากให้มีชีวิตอยู่ต่ออีกหนึ่งวันมั้ง ?>
หันมองไปที่หน้าต่างห้องของหนุ่มใหญ่ สงสัยว่า <ทำไมวันนี้ หนุ่มใหญ่ถึงไม่เปิดหน้าต่างออกมา ? หรือว่าย้ายออกไปแล้ว ?>
ใบไม้ใบสุดท้ายที่ชายชราเห็นวันนั้นจะไม่มีวันร่วงหล่นจากกิ่งอย่างแน่นอน เพราะเมื่อช่วงกลางดึกที่ผ่านมาหนุ่มใหญ่ได้ออกจากห้องฝ่าอากาศที่หนาวเหน็บหอบเอาสีเอาแปลง ที่เขาไปซื้อมาเมื่อตอนกลางวัน เขาปีนขึ้นไปบนต้นไม้ บรรจงวาดรูปใบไม้สีเขียวบนผนังอาคาร ให้อยู่แนวเดียวกับระดับสายตาที่มองมาจากหน้าต่างห้องเหมือนกับใบไม้ที่ติดอยู่บนกิ่ง
ชายชราที่สายตาฝ้าฟางไม่เคยรับรู้เลยว่า ใบไม้จริงใบสุดท้ายได้ร่วงหล่นลงไปแล้ว ที่เขาเห็นนั้น คือ <ใบไม้แห่งชีวิต> ที่หนุ่มใหญ่สร้างไว้ให้ชายชรานั่นเอง
เพราะความหนาวอย่างแสนสาหัส เพราะร่างกายที่ไม่แข็งแรง หนุ่มใหญ่นอนตายอยู่ในห้องอย่างเดียวดาย แต่ทว่า ใบหน้าเปี่ยมด้วยรอยยิ้มแห่งความสุข
เรื่องจบประมาณนี้
ผมอ่าน แล้วคิดตามเรื่องไปว่า <คนธรรมดา ๆ ก็เปรียบเสมือนพระเจ้าได้เพราะน้ำใจที่มีต่อเพื่อนมนุษย์และสัตว์โลก>
ดังเช่น <พระเจ้าของชายชรานั้นก็คือหนุ่มใหญ่คนนี้นี่เอง>
ขออภัยทุกท่านที่อ่าน ผมอาจเรียบเรียงไม่ตรง หรือไม่เหมือนกับต้นฉบับ แต่ที่ผมเน้นคือเรื่อง <น้ำใจ> แม้ผมจะอ่านผ่านมานานหลายสิบปีแล้ว
ผมก็ยังจำได้ไม่ลืมเลือน
<น้ำใจ> ไม่ได้ร่วงหล่นไปกับกาลเวลา จริง ๆ ครับ
พล.ต.ต.ไอยศูรย์ สิงหนาท